สรุปประเด็นเสวนาวิชาการ “ความจริงเรื่องเมทิลโบรไมด์ (methyl bromide) และโบรไมด์อิออน (bromide ion)”

การเสวนาทางวิชาการซึ่งมีผู้เข้าร่วมประชุมเป็นแพทย์ นักวิชาการด้านเภสัชศาสตร์ นักโภชนาการ นักพิษวิทยา นักการเกษตร คณาจารย์จากสถาบันการศึกษา สมาชิกเครือข่ายผู้บริโภค และตัวแทนจากมูลนิธิชีววิถีและมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ข้อสรุปที่สำคัญ 4 ประเด็น ดังต่อไปนี้

1. การหาปริมาณสารรมควันพิษเมทิลโบรไมด์ตกค้างในข้าวสารบรรจุถุงของทุกหน่วยงาน คือกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กรมวิชาการเกษตร มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค/มูลนิธิชีววิถี วัดค่าการตกค้างของสารโบรไมด์อิออนเหมือนกัน และแปลผลโดยเปรียบเทียบกับค่าปริมาณการตกค้างสูงสุดของโบรไมด์อิออนของโคเด็กซ์ (Codex MRL)ซึ่งกำหนดไว้ที่ 50 ppm เช่นเดียวกัน ผลการตรวจวิเคราะห์พบการตกค้างสอดคล้องกันในข้าวสารบรรจุถุงยี่ห้อโคโค่ ดังนั้นทุกฝ่ายต่างเข้าใจตรงกันว่า วิธีการตรวจวัด ผลการตรวจ และการแปลผลของมูลนิธิชีววิถีและมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคมิได้ผิดพลาด สับสน หรือแปลผลไม่ถูกต้องแต่ประการใด

2. ทุกฝ่ายเห็นร่วมกันว่าอันตรายของเมทิลโบรไมด์และโบรไมด์อิออนมีความแตกต่างกัน โดยเมทิลโบรไมด์มีพิษเฉียบพลันต่อผู้ใช้ และระยะยาวมีแนวโน้มเป็นสารก่อมะเร็ง ในขณะที่โบรไมด์อิออนที่ตกค้างเกิน 50 ppm มีความเสี่ยงต่อสุขภาพ เพราะโบรไมด์อิออนจะแย่งจับไอโอดีนในร่างกาย ทำให้เป็นปัญหากับประชาชนบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มประชากรที่ขาดไอโอดีน ภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ หรือประชากรที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากทะเล เช่น บางมณฑลของจีนแผ่นดินใหญ่ สาธารณรัฐเช็ก และประชากรในพื้นที่ภาคอีสาน หรือภาคเหนือของไทยที่ยังพบว่ามีบางส่วนขาดไอโอดีน

3. ข้อมูลการขจัดโบรไมด์อิออนที่ตกค้างโดยการซาวน้ำและหุงของมูลนิธิฯและหน่วยงานราชการมีส่วนที่สอดคล้องกันและแตกต่างกัน โดยเมื่อเปรียบเทียบงานวิจัยของ Nakamura และคณะ (1993)ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารระหว่างประเทศที่น่าเชื่อถือ และการทดลองเบื้องต้นโดยกรมวิชาการเกษตร พบว่ามีผลการวิจัยบางส่วนใกล้เคียงกัน คือ การซาวน้ำสามารถลดการตกค้างได้บางส่วน กล่าวคือ Nakamura นำข้าวมาซาวน้ำ 3 ครั้งๆละ 5 นาที จะเหลือโบรไมด์อิออนตกค้าง 51% ในขณะที่การทดลองของกรมวิชาการเกษตร พบว่า เมื่อซาวน้ำ 1 ครั้ง จะเหลือโบรไมด์อิออนตกค้าง 60.6% และเมื่อซาวน้ำ 2 ครั้งจะเหลือโบรไมด์อิออนตกค้าง 46.2% แต่มีความแตกต่างกันของปริมาณการตกค้างหลังหุง ซึ่ง Nakamura พบว่ายังเหลือโบรไมด์อิออนตกค้างถึง 41.2% ในขณะที่การทดลองของกรมวิชาการเกษตรระบุว่าเหลือโบรไมด์อิออนตกค้างเพียง 15.4% จากความแตกต่างของผลการทดลองดังกล่าว จึงควรมีการวิจัยเพิ่มเติมในประเด็นนี้เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองผู้บริโภค

4. การกำหนดค่า MRL ในข้าวสาร ยังจำเป็นต้องหาข้อมูลและทำความเข้าใจเพิ่มเติมดังต่อไปนี้ – การกำหนดค่า MRL โบรไมด์อิออนของประเทศจีน โดยมูลนิธิฯอ้างอิงจากฐานข้อมูล ของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ( USDA International Maximum Residue Level Database) ที่ระบุค่าเพียง 5 ppm แต่กรมวิชาการเกษตรแจ้งว่าได้ถามไปยังหน่วยงานของจีนแล้วได้รับคำตอบว่าตัวเลข 5 ppm เป็นการกำหนดค่าเมทิลโบรไมด์มิใช่โบรไมด์อิออน ที่ประชุมเห็นว่าควรนำหลักฐานที่ชัดเจนมากกว่านี้เพื่อยืนยันข้อเท็จจริงของแต่ละฝ่ายในเรื่องนี้ – สำหรับค่า ADI ของโบรไมด์อิออนที่ Codex กำหนดไว้ 1 มก./กก. น้ำหนักตัว ต่อวัน นั้นมี งานวิชาการของ Van Leeuwen และคณะ (1983) ได้ทำการวิจัยและเสนอให้มีการปรับค่า ADI ว่าควรจะอยู่ที่ 0.1 มก./กก. น้ำหนักตัว ต่อวัน เท่านั้น (ซึ่งค่า ADI มีความสำคัญต่อการกำหนดค่า MRL ต่อไป) ซึ่งในกรณีนี้มูลนิธิฯเห็นว่าประเทศไทยควรกำหนดค่า MRL ของโบรไมด์อิออนให้ต่ำกว่าค่าของ Codex และประสงค์จะขอเข้าไปมีส่วนร่วมในการกำหนดค่าดังกล่าวของหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต่อไป