เครือข่ายเกษตรกร องค์กรสิ่งแวดล้อม และเครือข่ายผู้บริโภค แถลงข่าวสนับสนุนการขึ้นทะเบี ยนสารเคมีกำจัดศัตรูพื ชภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด โดย รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานานนท์ ประธานมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่าภาครัฐต้องเข้ามาดู แลควบคุมการขึ้นทะเบียนสารเคมี กำจัดศัตรูพืชอย่างเคร่งครั ดเพราะการขยายเวลาจะยิ่งก่อให้ เกิดการทะลักเข้าของสารเคมีที่ อันตรายร้ายแรงหรือสารคุณภาพต่ ำที่จะไม่ได้รับการขึ้นทะเบี ยนอีกต่อไป พร้อมกับสนับสนุนว่าข้อมูลจากห้ องแล็บที่ได้มาตรฐาน GLP (Good Laboratory Practice) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลนั้นมี ความจำเป็นเพื่อแก้ปั ญหาการนำเข้าและใช้สารเคมีคุ ณภาพต่ำ ข้อมูลเหล่านี้อยู่ในมือของผู้ ประกอบการอยู่แล้วเว้นแต่จะมีนั ยทางการเมืองเพื่อบิดเบื อนเจตนารมณ์ของพ.ร.บ.วัตถุอั นตราย พ.ศ.2551 ที่จะคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสุ ขภาพของประชาชนจากสารพิษอันตราย
“ไม่เห็นด้วยกับผู้ประกอบการที ่ไม่เคารพกติกาเพราะเวลาที่หน่ วยงานรัฐให้ก็มีมากพออยู่แล้ว หน่วยงานรัฐจะต้องเข้มแข็ง ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่ งครัด การขยายเวลาขึ้นทะเบี ยนออกไปตามแรงกดดันของผู้ ประกอบการอาจทำให้สารเคมีที่คุ ณภาพต่ำและมีพิษสูงวางขายอยู่ ในตลาดต่อไปจนกระทบต่อสิ่งแวดล้ อมและสุขภาพ ดังปัจจุบันที่คนไทยป่วยเป็ นมะเร็งจำนวนมากซึ่งปัจจัยเสี่ ยงสำคัญก็คือการบริ โภคอาหารปนเปื้อนสารเคมีกำจัดศั ตรูพืชนั่นเอง”
ส่วนนายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผอ.มูลนิธิชีววิถี (BioThai) กล่าวว่า กฎหมายให้เวลาแบบเอื้อเฟื้อแก่ ผู้ประกอบการมากเพราะมีเวลาถึง 3 ปีครึ่งตั้งแต่มีการประกาศพ.ร. บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2551 ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์2551 โดยระหว่างนั้นก็มีการพิจารณาร่ วมรับฟังความคิดเห็นระหว่างผู้ ประกอบการสารเคมีและหน่วยงานรั ฐอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา และแม้จะนับตั้งแต่วันที่กรมวิ ชาการเกษตรมีประกาศเรื่องการขึ้ นทะเบียนหรือ 13พฤศจิกายน 2552 ก็ยังมีเวลามากถึง 1 ปี 9 เดือน 10 วัน
“เหตุผลเบื้องหลังการขอเลื่ อนเวลาขึ้นทะเบียนสารเคมีกำจั ดศัตรูพืช คือ 1) เพื่อยืดเวลาขายวัตถุอันตรายที่ ไม่มีมาตรฐานออกไปอีก 2 ปี ซึ่งหมายความว่าตลาดจะทะลักด้ วยสารเคมีอันตราย ไม่ได้มาตรฐาน และไม่มีคุณภาพ ปัญหาตามที่ผู้ประกอบการกล่าวอ้ างว่าจะขาดแคลนสารเคมีจึงไม่จริ ง แต่ที่จริงและน่ากังวลก็คื อการใช้สถานการณ์เพื่อขึ้ นราคาสารเคมีกำจัดศัตรูพืช 2) จากการที่ต้องขึ้นทะเบียนวัตถุ อันตรายใหม่หมด สารเคมีที่อยู่ในบัญชีเฝ้าระวั งและหลายประเทศห้ามใช้แล้ว เช่น เมโทมิลและคาร์โบฟูราน ก็อาจจะถูกยื่นเข้ามาจดทะเบี ยนด้วยเหมือนกัน ซึ่งด้วยแรงกดดันของผู้ ประกอบการก็อาจทำให้มีการขึ้ นทะเบียนได้ 3) การขอแก้ไข พ.ร.บ.วัตถุอันตราย เนื่องจากบริษัทสารเคมีเหล่านี้ มีอำนาจและใกล้ชิดฝ่ายการเมือง จึงขอให้มีการผ่อนผันการขึ้ นทะเบียนออกไปได้ และในขณะเดียวกันก็ทำให้การขอขึ ้นทะเบียนกระทำได้ได้โดยง่ายด้ วย” นายวิฑูรย์กล่าว
ด้านนายอุบล อยู่หว้า พร้อมกับตัวแทนจากเครือข่ ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน เครือข่ายชาวนาสุพรรณ และกลุ่มเกษตรอินทรีย์ อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ชี้แจงว่าสารเคมีกำจัดศัตรูพื ชไม่มีความจำเป็นต่อการทำอาชี พเกษตรกรรม หากแต่ผู้ประกอบการใช้กลไกบิ ดเบือนด้วยการโฆษณาแต่ด้านดี จนคนทั่วไปมองไม่เห็นพิษภัยร้ ายแรงของสารเคมีอันตราย และยังทำให้เกษตรกรตกเป็นเป้ าของสังคมเมื่อเกิดปัญหาสารเคมี ตกค้างในอาหารทั้งๆที่บริษั ทเคมีเกษตรและรัฐก็ต้ องแสดงความรับผิดชอบร่วมด้วย ส่วนการกล่าวอ้างว่าผลผลิ ตจะลดลงถ้าไม่ใช้สารเคมีกำจัดศั ตรูพืชนั้นเป็นไปเพื่อสร้ างความชอบธรรมเท่านั้น เกษตรอินทรีย์ที่เครือข่ายทำอยู ่เป็นข้อพิสูจน์แล้วถึงความไม่ จำเป็นของการใช้สารเคมี ดังนั้นรัฐจะต้องทบทวนนโยบายที่ สนับสนุนเกษตรเคมีเสีย และให้ความสำคัญกับเกษตรอินทรี ย์ที่ดีต่อผู้ผลิต ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ เครือข่ายเกษตรกร องค์กรสิ่งแวดล้อม และเครือข่ายผู้บริโภคมีข้ อเสนอแนะเพิ่มเติม 4 ประการด้วยกัน คือ 1) วิกฤตสารเคมีเกษตรใหญ่หลวงมาก ผลกระทบมากมายมหาศาล จึงควรใช้โอกาสนี้เพื่อเปลี่ ยนแปลงระบบเกษตรกรรมไปสู่ เกษตรอินทรีย์และส่งเสริ มการกำจัดศัตรูพืชด้วยชีววิธี สารชีวภาพ และสมุนไพร 2) เครือข่ายจะจับตากระทรวงเกษตรฯ ว่าจะดำเนินการเรื่องนี้ต่ อไปอย่างไร โดยเฉพาะการขอขึ้นทะเบี ยนสารเคมีที่หลายประเทศแบนแล้ว 3) ประสานความร่วมมือเครือข่ายวิ ชาการ ThaiPANเพื่อสร้างความตระหนักถึงพิษภั ยของสารเคมีกำจัดศัตรูพืช และ 4)พิจารณาการฟ้องร้องกรณีที่หน่ วยงานของรัฐย่อหย่อนหรื อออกประกาศหรือระเบียบที่ขัดต่ อกฎหมายเพื่อคุ้มครองคุณภาพชีวิ ตเกษตรกร ผู้บริโภค และสังคม ไม่ให้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ ของผู้ประกอบการเพียงอย่างเดียว