ญี่ปุ่นใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชมากกว่าไทย 1 เท่า….แต่ทำไม?

ดร.ชนวน รัตนวราหะ
อดีตรองอธิบดีกรมวิชาการเกษตรและผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

นักกีฏวิทยาทั่วโลก (ยกเว้นที่มีผลประโยชน์กับธุรกิจการค้าขายสารเคมีการเกษตร)  ทราบถึงพิษภัยของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชทั้งในด้านการทำลายสิ่งแวดล้อมการสร้างปัญหาของการเพิ่มการระบาดทั้งชนิดและจำนวนประชากรของศัตรูพืชพิษที่เกิดต่อสุขภาพประชาชนซึ่งมีข้อมูลการวิจัยและบทเรียนมากมายที่คนธรรมดาที่พอจะมีสติปัญญาก็จะทราบถึงพิษภัยเหล่านั้นอย่างไม่ต้องสงสัย

ประเทศเวียดนามซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของเรากำลังใช้นโยบาย 3 ลด 3 เพิ่ม หนึ่งใน 3 ที่ลดก็คือลดการใช้สารกำจัดศัตรูพืชทำให้มีผลผลิตและรายได้เพิ่มจนแซงหน้าประเทศเพื่อนบ้าน ทุกวันนี้ประเทศทั่วโลกได้ปรับเปลี่ยนจากการเกษตรที่ใช้สารเคมีมาเป็นเกษตรอินทรีย์กันอย่างขะมักเขม้นโดยเฉพาะประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี เช่น ญี่ปุ่น เยอรมัน อังกฤษ สวิสเซอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ฯลฯ ทั้งที่ประเทศเหล่านี้ผลิตสารเคมีกำจัดศัตรูพืชได้เองและส่งขายไปยังต่างประเทศ  ในปัจจุบันนโยบายของรัฐบาลของประเทศเหล่านี้ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาการเกษตรอินทรีย์  มีหน่วยงานที่รับผิดชอบในการวิจัยพัฒนาและส่งเสริมการเกษตรอินทรีย์  รวมทั้งการให้เงินสนับสนุนแก่เกษตรกรเพื่อการปรับเปลี่ยนจากการเกษตรที่ใช้สารเคมีมาเป็นเกษตรอินทรีย์  มีข้อมูลที่สามารถจะอ้างอิงได้มากมาย

ผมในฐานะนักเกษตรไม่เพียงแต่พูด แต่ได้ปฏิบัติด้วยตนเอง  สามารถยืนยันได้ว่าเกษตรอินทรีย์ได้ผลผลิตทีเมื่อแรกอาจจะน้อยกว่าการใช้สารเคมีบ้างไม่มาก  แต่เมื่อเวลาผ่านไปดินจะได้รับการปรับปรุงจนปัจจุบันในสวนของผมได้ผ่านมา 6-7 ปีแล้ว ผลผลิตได้เพิ่มมากขึ้นเท่ากับ (หรืออาจจะมากกว่า) เพื่อนบ้านข้างเคียงที่ยังมีการใช้สารเคมีในขณะที่ต้นทุนการผลิตในสวนผมต่ำกว่าการใช้สารเคมีกว่า 30 % ราคาผลผลิตอินทรีย์ขายได้ราคาสูงกว่าการใช้สารเคมี 20-30 % นั่นหมายความว่าผมได้กำไรมากขึ้น ไม่ต่ำกว่า 50-60 % ครอบครัวของผมรวมทั้งลูกค้าที่ซื้อผลผลิตไปบริโภค ต่างมีความสุขกับการได้บริโภคอาหารที่ไม่มีสารพิษตกค้าง สุขภาพของเราดีขึ้นกว่าเดิมที่เคยบริโภคผลผลิตที่ปนเปื้อนด้วยสารเคมี ทำให้เราไม่ต้องเจ็บป่วยเสียเงินค่ารักษาพยาบาล

ในระดับประเทศ   ปัจจุบันเกษตรกรไทยต้องรับภาระต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากการใช้สารเคมี  จนเกษตรกรไทยทุกวันนี้ยากจนมีหนี้สินล้นพ้นตัว ต้องขายกรรมสิทธ์ที่ดิน จนในปัจจุบัน  60 % ไม่มีกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นของตนเอง ต้องผันตัวเองจากเจ้าของที่ดินกลายเป็นเกษตรกรที่เช่าที่ดินทำกินไร่ละ 1,000-1,500 บาท ปัจจุบันเกษตรกรไทยมีหนี้เฉลี่ย 140,000 บาท ต่อครอบครัว

ประเทศไทยต้องนำเข้าสารเคมีการเกษตรที่เป็นสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและปุ๋ยเคมีปีละ กว่าแสนล้านบาท ทั้งที่เราสามารถจะใช้สารธรรมชาติ และ สิ่งมีชีวิตที่เป็นประโยชน์ เช่น จุลินทรีย์ แมลงตัวห้ำตัวเบียน สมุนไพร ทดแทนสิ่งเหล่านั้นได้อย่างปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพของประชาชน   ซึ่งนับเป็นศักยภาพของประเทศไทยที่ไม่มีใครสามารถจะเท่าเทียมได้เรา

ประเทศญี่ปุ่นผลิตสารเคมีการเกษตรเพื่อใช้เองภายในประเทศและส่งขายนำเงินเข้าประเทศจนร่ำรวย  ฉะนั้น ถ้าหากเกษตรกรญี่ปุ่นจะใช้สารเคมีมากกว่าเกษตรกรไทย 1 เท่าก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไร  เพราะเขาพึ่งตนเองได้ แต่ถ้าถามคนญี่ปุ่นว่ามีความสุขมากกว่าคนไทยที่ยากจนหรือไม่  คงต้องไปถามคนญี่ปุ่นกันเอาเอง  แต่ที่ผมทราบคนญี่ปุ่นอยากมาอยู่ในเมืองไทยเพราะมีความสุขมากกว่าอาศัยอยู่ในญี่ปุ่น  จนกระทั่งมีการตั้งนิคมคนสูงอายุญี่ปุ่นในประเทศไทยในปัจจุบัน

ผมทราบดีว่าถึงแม้ผมจะพยายามอธิบายความจริงอย่างไรในด้านความเป็นพิษภัยของสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ที่เราต้องพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ  ในขณะที่เราสามารถพึ่งตนเองได้จากสารและสิ่งมีชีวิตที่ปลอดภัยทดแทนสิ่งมีพิษเหล่านั้นได้อย่างมากเกินพอ   แต่สำหรับคนที่มีมิจฉาทิฐิก็ไม่สามารถจะทำให้เขาเหล่านั้นได้มองเห็นสัจจะธรรมเหล่านี้ได้หรอก  คงต้องปล่อยให้เขาไปตามทางของเขา ซึ่งธรรมชาติก็สั่งสอนเขาเองในที่สุด